ขายฝากบ้านที่ดิน

ขายฝากบ้านที่ดิน

ขายฝากบ้านที่ดิน จุดหมายสำหรับการลงลายลักษณ์อักษร ทั้งคำสัญญา จำนำ แล้วก็ขายฝาก เป็นข้อตกลงที่นิยมใช้สำหรับในการกู้ยืม ระหว่างเจ้าหนี้ รวมทั้งลูกหนี้ โดยมี อสังหาริมทรัพย์ เป็นประกัน “จำนอง” เป็นข้อตกลงซึ่งบุคคลหนึ่ง เรียกว่าผู้จำนองเอาสินทรัพย์ตราไว้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่าผู้รับจำนองเพื่อเป็นประกันการชำระหนี้โดยไม่ส่งมอบเงินนั้นให้แก่ผู้รับจำนองส่วน“ขายฝาก”คือสัญญาซื้อขายซึ่งเจ้าของในทรัพย์สินตกไปยังคนซื้อ โดยมีข้อตกลงกันว่าผู้ขายบางทีอาจไถ่ทรัพย์นั้นคืนได้ภายในระยะเวลาที่ระบุ สิ่งที่แตกต่างที่สำคัญของคำสัญญาจำนำกับคำสัญญาขายฝากที่ควรจะรู้ข้อตกลงจำนอง : เจ้าของในสินทรัพย์ที่จำนองไม่โอนไปยังผู้รับจำนำ จึงไม่ต้องมีการส่งทรัพย์สมบัติที่จำนองให้ผู้รับจำนำ แต่สัญญาขายฝาก : เจ้าของในเงินที่ขายฝากโอนไปยังผู้รับซื้อฝาก ก็เลยจะต้องมีการส่งมอบทรัพย์สินให้แก่คนรับซื้อฝาก

ขายฝากบ้านที่ดิน

สัญญาจำนอง :ถ้าไม่จ่ายและชำระหนี้ ผู้รับจำนองจะฟ้องบังคับจำนอง แล้วให้กองบังคับคดีประมูลขาย ได้เงินมาจ่ายหนี้ แม้กระนั้นข้อตกลงขายฝาก : คนขายฝากจำเป็นต้องมาไถ่ข้างในตั้งเวลาในสัญญา ถ้าหากว่าไม่มีเงินมาไถ่ภายในตั้งเวลา ข้อบังคับระบุว่าสามารถเพิ่มเวลาขายฝากได้ กี่ครั้งก็ได้ ครั้งละนานเท่าไรก็ได้ แม้กระนั้นรวมกันจำเป็นต้องไม่เกิน 10 ปี หากว่าไม่มีเงินมาไถ่ถอนขายฝาก

หรือเปล่ามาขยายกำหนดเวลาไถ่จากขายฝาก ปล่อยให้ทรัพย์หลุดขายฝาก ทรัพย์สินนั้นก็จะเป็นของผู้รับซื้อฝากอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดสถานที่ทำสัญญาทั้งข้อตกลง จำนอง และก็ขายฝาก จำต้องทำต่อหน้าข้าราชการพนักงาน ณ กรมที่ดินเท่านั้นในกรณีทำผิดสัญญาข้อตกลงจำนอง : ถ้าเกิดครบคำสัญญาแล้ว สามารถจ่ายดอก เพื่อยืดเวลาได้อีกไม่เกิน 5 ปี หรือผู้รับจำนำจะฟ้องร้องเพื่อบังคับจำนำ

แล้วให้กองบังคับคดีประมูลขาย เพื่อนำเงินมาชำระหนี้ ซึ่งระหว่างที่โดนฟ้องบังคับจำนำ ที่ดินนั้นๆจะไม่สามารถที่จะเอามาขายเองได้แล้วสัญญาขายฝาก : ลูกหนี้จะต้องมาไถ่ด้านในกำหนดเวลาที่ตกลงกันไว้ในสัญญา ถ้าหากเลยเวลาเวลา โดยชอบด้วยกฎหมายสามารถเพิ่มเวลาขายฝากได้ จำนวนกี่ครั้งก็ได้ ทีละนานเท่าใดก็ได้ แต่ว่ารวมกันแล้วจำเป็นต้องไม่เกิน 10 ปี

หนึ่งในเรื่องที่ทำให้คนอยากมีบ้านมากไม่น้อยเลยทีเดียวต่างปวดหัวกัน มีเรื่องเกี่ยวกับศัพท์ทางด้านการเงินอย่างแน่นอน เพราะว่าแม้คุณมิได้มีความรู้ความเข้าใจหรือประสบการณ์ด้านนี้มาก่อน คงจะงงกับอักษรย่อทั้งหลายแหล่ที่เป็นดังรหัสลับและเข้าใจยากอย่างไรก็ตาม พวกเราสามารถทำให้เรื่องยากแปลงเป็นเรื่องง่ายดายมากยิ่งขึ้นได้โดยการจัดเตรียมที่ดี ยิ่งคุณเตรียมตัวมากมาย ปัญหายิ่งหาย แล้วก็ข้อผิดพลาดต่างๆที่จะเกิดขึ้นก็จะยิ่งลดน้อยลงเช่นเดียวกัน ฉะนั้น มาเปิดคลังศัพท์แล้วก็คำย่อ 10 คำที่คุณควรจะทราบ แล้วจะก่อให้การซื้อบ้านกลายเป็นเรื่องเข้าใจง่ายขึ้นทันที

1.เงินดาวน์ (Down Payment)หมายถึง เป็นเงินส่วนที่จำเป็นต้องจ่ายภายหลังจากจองแล้วก็ลงนามเรียบร้อยแล้ว รูปทรงอยู่ที่โดยประมาณ 10-20% ของราคาเต็มในกรณีที่โครงการยังไม่เริ่มสร้างหรือกำลังอยู่ในตอนก่อสร้างคุณสามารถผ่อนเงินดาวน์กับแผนการได้ (แต่จะต้องทำความเข้าใจกับกฎระเบียบของแต่ละแผนการให้แจ่มกระจ่างก่อน) หรือในกรณีโครงการที่สร้างเสร็จพร้อมโอน บางครั้งอาจจะกำหนดให้จ่ายเงินดาวน์เป็นก้อน เป็นต้นว่า 50,000 บาท

2.เงินกู้ (Loans)ซึ่งก็คือ จำนวนเงินก้อนที่สถาบันการเงิน อย่างเช่น แบงค์ให้กู้ไปใช้สำหรับเพื่อการซื้อบ้านได้ โดยปกติธนาคารจะอนุมัติวงเงินกู้ในช่วงระหว่าง 80-95% ซึ่งผู้กู้จำเป็นที่จะต้องจ่ายดอกเบี้ยตามจำนวนเงินกู้ ทำสัญญากำหนดช่วงเวลาที่จะใช้หนี้ใช้สินที่แน่ๆ และก็ผ่อนหนี้เป็นงวด

3.ค่าผ่อนส่ง (Installment)หมายคือ ยอดเงินที่จะต้องผ่อนหนี้แต่ละเดือน โดยคำนวณจากยอดวงเงินกู้ อัตราดอกเบี้ย และก็ช่วงเวลาการยืม

4.อัตราค่าดอกเบี้ยเงินกู้แบบคงที่ (Fixed Rate)ซึ่งก็คือ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยืมที่ระบุเป็นตัวเลขเฉพาะตลอดอายุสัญญาเงินกู้ยืมหรือขณะที่ระบุ ไม่ขึ้นหรือลงตามสภาพเศรษฐกิจ เป็นต้นว่า กำหนดให้จ่ายดอกจำนวนร้อยละ 5 ต่อปีเป็นเวลา 4 ปี พวกเราก็จะเสียอัตราค่าดอกเบี้ย 5% ตลอดระยะเวลา 4 ปี ไม่มีความเคลื่อนไหวจุดเด่นของอัตราค่าดอกเบี้ยแบบคงที่คือ ไม่จำเป็นที่จะต้องมาวิตกกังวลว่ายอดชำระเงินกู้จะสูงขึ้น แล้วก็ช่วยให้ผู้กู้สามารถกำหนดแผนการเงินของตนได้อย่างเที่ยงตรง

5.อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยืมแบบลอยตัว (Floating Rate)หมายถึง อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยืมที่จะเปลี่ยนไปตามประกาศของสถาบันการเงิน ซึ่งจะปรับขึ้นลงตามสภาวะเศรษฐกิจ ขายฝาก คือ ในปีที่อัตราค่าดอกเบี้ยถูกลงพวกเราก็จะจ่ายดอกถูก ในขณะเดียวกันปีใดที่อัตราดอกเบี้ยสูงมากขึ้นพวกเราก็จะต้องจ่ายดอกเบี้ยมากขึ้นเช่นเดียวกัน โดยอัตราการเปลี่ยนแปลงของดอกจะขึ้นอยู่กับแต่ละธนาคาร ซึ่งในแต่ละปีมีการปรับมากน้อยแตกต่างกัน

6.MLR (Minimum Lending Rate) หรือ (Minimum Loan Rate)เป็น อัตราดอกเบี้ยที่แบงค์เรียกเก็บจากลูกค้ารายใหญ่เกรดเอ จำพวกเงินกู้ยืมแบบมีช่วงเวลาได้แก่ มีประวัติการคลังที่ดี มีหลักทรัพย์ค้ำประกันพียงพอเพียง ส่วนใหญ่อัตราค่าดอกเบี้ยจำพวกนี้จะใช้กับเงินกู้ยืมระยะยาวที่มีระบุระยะเวลาแน่นอน ตัวอย่าง สินเชื่อเพื่อการประกอบธุรกิจ สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย

7.MRR (Minimum Retail Rate)คือ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่แบงค์เรียกเก็บจากลูกค้ารายย่อยชั้นเลิศทั้งนี้ใช้โยงกับอัตราค่าดอกเบี้ย MLR เพื่อให้สามารถสะท้อนระดับการเสี่ยงที่แตกต่างระหว่างลูกค้ารายใหญ่กับลูกค้ารายย่อยได้โดยบวกส่วนต่างสูงสุดที่แบงค์ประกาศไม่เกินปริมาณร้อยละ 4 ต่อปี ทั้งนี้ธนาคารแห่งประเทศไทยได้มีจดหมายเวียนระบุวันที่ 10 เดือนสิงหาคม 2544 ยกเลิกการกำหนดส่วนต่างไม่เกินร้อยละ 4 ต่อปีเพื่อให้มีความ เท่าเทียมกันในการแข่งเสนอบริการสินเชื่อ เพื่อตอบสนองสิ่งที่ต้องการของลูกค้าในลักษณะต่างๆมากขึ้นพิจารณาอัตราค่าดอกเบี้ย MLR และก็ MRR

8.LTV (Loan to Value)ซึ่งก็คือ อัตราส่วนการให้สินเชื่อเพื่อซื้อบ้านเทียบกับราคาบ้าน ยกตัวอย่าง บ้านราคา 1 ล้านบาท ธนาคารล่อยสินเชื่อเป็นเงินปริมาณ 9 แสนบาท แสดงว่ามี LTV พอๆกับอัตราส่วนจำนวนร้อยละ 90 โดยเหตุนี้ถ้าธนาคารปลดปล่อยสินเชื่อโดยมีอัตราส่วน LTV ต่ำ คนซื้อบ้านก็ควรมีเงินออมจํานวนที่สูงขึ้น ความรู้ความเข้าใจสำหรับการซื้อบ้านก็จะน้อยลง

9. DSCR DSCR (Debt Service Coverage Ratio) คือ อัตราส่วนรายได้ต่อภาระจ่ายชำระหนี้สิน ซึ่งแบงค์จะเอาไว้ใคร่ครวญปลอ่ยกู้ให้กับผู้ยื่นกู้ โดยจะเทียบเคียงสัดส่วนด้วยสูตร (รายได้ต่อเดือน ÷ ยอดผ่อนหนี้ต่องวด) ซึ่งรูปร่างที่เหมาะสมคือ 3.0 ขึ้นไป หรือมีรายได้เป็น 3 เท่าของภาระหนี้ หากได้ DSCR น้อยกว่า 3.0 โน่นจะแสดงว่าคุณมีหนี้ผ่อนส่งมากเกินไป หรือช่องทางในการขอกู้ผ่านจะน้อยลง

10. ค่าจำนองการจำนำหมายถึงสัญญากู้ยืมประเภทหนึ่งที่ “ผู้จำนอง” ใช้อสังหาริมทรัพย์ตามที่กฏหมายอนุญาตให้จำนำ ดังเช่น โฉนด ที่ดิน บ้าน เป็นต้น ขึ้นทะเบียนกับ “ผู้รับจำนอง” เป็นประกันในการชำระหนี้ ซึ่งการตกลงจำนำต้องทำต่อหน้าข้าราชการกรมที่ดินเท่านั้น โดยกำหนดให้แจ่มกระจ่างว่าผู้จำนองกู้ยืมเป็นวงเงินจำนวนเงินเท่าไร

แล้วก็ทรัพย์ที่นำมาจำนองเป็นอย่างไรสรุปการจะเป็นเจ้าของบ้านสักหนึ่งหลังต้องมีการวางเป้าหมายที่รอบคอบ เปรียบเหมือนการต่อจิ๊กซอว์ที่แม้จะมองไม่เป็นตัวเป็นตนในตอนแรก แต่เบาๆทำความเข้าใจไปครั้งละเรื่อง เริ่มจากคำศัพท์เบื้องต้น ความรู้พื้นฐาน แล้วจึงต่อแต่ละชิ้นส่วนเข้าด้วยกัน ภาพในที่สุดจะกลายเป็นของขวัญชิ้นใหญ่ที่คุ้มค่าที่สุดสำหรับครอบครัวคุณอย่างแน่แท้

สิ่งที่จำต้องรู้ก่อนรับจำนองที่ดินรับจำนองที่ดิน

เป็นการทำธุรกรรมที่น่าสนใจเนื่องจากว่าผู้รับจำนองบ้านที่ดินจะยังมิได้รับสิทธ์ในที่ดินหรือทรัพย์สินเมื่อมีการลงนาม เนื่องจากผู้จำนองไม่ต้องมีการส่งที่ดินให้แก่ผู้รับจำนำที่ดิน แต่เป็นการนำอสังหาริมทรัพย์หรือที่ดินมาใช้เป็นหลักประกันสำหรับการใช้หนี้นั่นเองเพื่อไม่ให้จะต้องสูญเสียผลตอบแทนจากการจำนอง และไม่ให้กำเนิดการเสี่ยงในการนำอสังหาขอบทรัพทย์ที่มีมูลค่าสูงอย่างที่ดินมาใช้เป็นประกันโดยการจำนอง

ผู้จำนองและผู้ที่รับจำนองบ้านที่ดิน จำเป็นที่จะต้องเล่าเรียนและทราบถึงเหตุต่างๆของการจำนำให้ถี่ถ้วนถ้วนถี่ ซึ่งสิ่งที่ต้องรู้ก่อนการทำการจำนองมีดังนี้สถานที่ทำสัญญา : ต้องมีการทำความตกลงต่อหน้าต่อตาข้าราชการที่ที่ทำการที่ดิน โดยข้อตกลงต้องถูกตรวจทานจากข้าราชการก่อน ซึ่งตามกฏหมายได้มีการระบุว่าการทำความตกลงต้องระบุรายละเอียดให้ครบบริบรูณ์และถูก ผ่านการตกลงและรับทราบร่วมกันของคู่สัญญากรรมสิทธิ์

: กรรมสิทธิ์จะยังเป็นของผู้จำนองอยู่และก็ผู้รับจำนองจะยังไม่มีสิทธิ์ในที่ดินมื่อลงลายลักษณ์อักษรอัตราค่าแรง : ค่าจ้างของการรับจำนองบ้านที่ดินเป็น “ดอก” โดยผู้จำนองรวมทั้งผู้รับจำนำจำเป็นจะต้องตกลงกันในหลักเกณฑ์คือจำต้องไม่เกิน 15% ต่อปี หรือ ไม่เกิน 1.25% ต่อเดือน การยึดสมบัติพัสถาน :ถ้าไม่ทันเวลาสัญญาแล้วผู้จำนองยังไม่อาจจะไถ่ถอนอสังหาริมทรัพย์ได้

โดยผู้รับจำนำต้องฟ้องต่อศาลเพื่อขอยึดทรัพย์แล้วก็นำทรัพย์ไปขายทอดตลาดในขั้นตอนต่อไปการไถ่คืนถอน : ตามที่ตกลงรวมทั้งระบุไว้ในสัญญากู้หนี้ยืมสิน โดยจะไม่มีอายุของคำสัญญาแต่ว่าจะมีการกำหนดเวลาใช้หนี้และก็ดอกถ้ามีการผิดชำระนั่นเองโดยข้างในสัญญาจำนองควรจะมีการกำหนดเนื้อหาอย่างชัดเจนถึงจำนวนเงินกู้ที่ผู้จำนองต้องการจะทำกู้กับคนที่รับจำนองที่ดิน

รวมทั้งควรมีการระบุเนื้อหาของที่ดินที่นำมาจำนำ เพื่อการทำข้อตกลงเสร็จสมบูรณ์ ซึ่งสิ่งที่ต้องมีการระบุเอาไว้ภายในข้อตกลงคือรายละเอียดต่างๆของที่ดินวันที่ลงนามชื่อของผู้กระทำสัญญาทั้งยังผู้จำนองแล้วก็คนที่รับจำนองที่ดินข้อตกลง จำนวนเงินกู้ อัตราค่าดอกเบี้ย ตั้งเวลาใช้หนี้แล้วก็จำนวนครั้งที่ต้องจ่ายดอกถ้าหากไม่สามารถที่จะชำระได้ตรงตามเวลาชื่อผู้ถือโฉนดที่ดินหรือพยานผู้ถือหลักทรัพย์การเซ็นสัญญา ของทั้งผู้จำนองรวมทั้งผู้ที่รับจำนำบ้านที่ดิน ผู้เห็นเหตุการณ์ข้างละ 1 คน เจ้าหน้าที่ที่ที่ทำการที่ดิน ผู้เขียนคำสัญญา แล้วก็ผู้ตรวจคำสัญญา

จุดเด่นของการรับจำนองที่ดินการจำนองมีข้อดีทั้งต่อผู้จำนองและก็ผู้รับจำนองที่ดิน ดังต่อไปนี้เป็นการทำธุรกรรมที่ถูกตามกฏหมายรวมทั้งไม่เป็นอันตรายเหตุเพราะมีการขึ้นทะเบียนต่อหน้าต่อตาเจ้าหน้าที่ที่ที่ทำการที่ดินค่าธรรมเนียมสำหรับการลงนามที่ที่ทำการที่ดินไม่สูง นั่นเป็นเพียง 1% ของวงเงินจำนองแค่นั้นผู้จำนองจะค่อยข้างดีกว่าจากการจำนองในตอนนั้น

เหตุเพราะผู้รับจำนำจะไม่สามารถยึดทรัพย์ได้เลยทันทีวิธีเลือกผู้รับจำนำบ้านที่ดินที่ใช่และไม่เป็นอันตรายเมื่อถึงขนาดตอนสำหรับการเลือกพิจารณาถึงบริษัทหรือหน่วยงานที่รับจำนำที่ดิน ผู้จำนองควรต้องไต่ตรองให้ถี่ถ้วยโดยคำนึงถึงความปลอดภัยและก็ความเหมาะสมเป็นหลัก โดยปัจจุบันนี้สามารถจำนองที่ดินได้อีกทั้งกับแบงค์และบริษัทเอกชนต่างๆซึ่งสิ่งที่จะสามารถใช้

เพื่อประกอบการพิจารณาเป็นความน่าวางใจขององค์กร ธนาคาร หรือบริษัทที่รับจำนองที่ดินจำนวนของวงเงินที่อนุมัติให้กู้ระยะเวลาผ่อนส่งแล้วก็อัตราค่าดอกเบี้ยเมื่อคิดถึงสิ่งพวกนี้แล้ว สิ่งหนึ่งที่จำเป็นมากสำหรับการจะจำนองที่ดินนั่นเป็นการอ่านสัญญาอย่างละเอียดเพื่อศึกษาข้อตกลงและไม่ให้กำเนิดจุดบกพร่องในอนาคต

จำนำเป็นยังไงการจำนองเป็นการตกลง ทำข้อตกลง ลงลายลักษณ์อักษรต่อกัน ระหว่างบุคคลหนึ่งซึ่งเราเรียกว่า “ผู้จำนอง” กับ บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่า “ผู้รับจำนอง” โดยเอาเงินเป็นประกัน การจ่ายและชำระหนี้ โดยไม่ส่งมอบเงินทองนั้นให้แก่ผู้รับจำนอง (มาตรา ๗๐๒)เงินที่จะจำนองได้ มีหลายหมวดดังต่อไปนี้

-บ้าน ที่ดิน คอนโด อสังหาทุกจำพวกเอกสารที่เตรียมวันทำธุรกรรม

1)โฉนดตัวจริง

2)สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน พร้อมตัวจริง

3)สำเนาทะเบียนบ้าน พร้อมตัวจริง

4)ใบยินยอมจากคู่ครอง

5)ทะเบียนสมรส วิธีทำงาน

1. เบื้องต้นให้ แจ้งรายละเอียดที่ของดิน บ้าน คอนโด อพาร์ทเมนท์ สินทรัพย์ ว่าเนื้อเท่าไร่ ราคาประเมินเท่าไร ติดถนนหนทางซอกซอย หรือถนนอะไร โดยบางครั้งก็อาจจะส่งเอกสารมาทางโทรสารก่อน

2.ทางคณะทำงานของบริษัทจะตรวจทานสินทรัพย์ด้านใน 24 ชั่วโมง ถ้าสินทรัพย์มีความเป็นไปได้ในการดำเนินการ จะติดต่อกลับโดยทันที โดยแนวทางพินิจพิเคราะห์ขั้นต้น จะมองจากราคาประเมินกรมที่ดิน ราคาจำหน่ายจริงในตลาด โดยทีมงานมีระบบสำรวจ ไม่จำเป็นต้องใช้เอกสารใดๆก็ตามทั้งสิ้น ทางทีมงาน จะให้จำนำในราคาเฉลี่ยที่ 50-60 % ของราคาทรัพย์สินโดยรวม(จากราคาประ เมินและราคาซื้อขายจริง ในท้องตลาด

3.เมื่อไตร่ตรองหลักทรัพย์ที่ต้องการจำนองหรือขายฝากผ่านการใคร่ครวญแล้วทางบริษัทชัดเจนกลับแล้วก็นัดหมายทำสัญญาจำนองหรือขายฝากในวันดังที่กล่าวมาข้างต้นหรือวันต่อไปเอกสารที่จะจำเป็นต้องใช้

  • สำเนาโฉนดที่ดินก๊อบปี้ทั้งยังด้านหน้าและด้านหลัง
  • ราคาประเมินกรมที่ดิน
  • ราคาประเมินบริษัทประเมินเอกชน(หากมี)

ค่าธรรมเนียมสำหรับเพื่อการลงบัญชีจำนำในการลงนามจำนอง ผู้จำนองรวมทั้งผู้รับจำนำต้องมีการทำเป็นหนังสือรวมทั้งขึ้นทะเบียนต่อพนักงานข้าราชการในสำนักงานที่ดิน ที่เงินทองนั้นอยู่ในเขต เช่น ที่ดินอยู่อำเภอเมืองจังหวัดสมุทรปราการ จึงควรไปขึ้นทะเบียนจำนอง จํานองที่ดิน ที่สำนักงานที่ดินจังหวัดสมุทรปราการ สำหรับเพื่อการลงบัญชีจำนองดังกล่าว ผู้จำนองต้องจ่ายค่าธรรมเนียมสำหรับเพื่อการลงทะเบียนปริมาณร้อยละ 1 บาท

จุดเด่นของการทำสัญญาจำนอง

1.การจดทะเบียนจำนองที่ดินพร้อมสิ่งก่อสร้าง หรืออสังหาริมทรัพย์อื่นใด เป็นเพียงแต่การนำที่ดินดังกล่าวไปลงทะเบียนจำนำไว้เป็นประกัน เมื่อผู้จำนองไม่ทำตามสัญญา หรือถึงกำหนดชำระแล้วยังไม่สามารถที่จะไถ่ถอนจำนำได้ บ้านและก็ที่ดินดังกล่าวยังเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้จำนอง

ผูู้รับจำนองจึงควรไปฟ้องร้องต่อศาลเพื่อขอให้ยัดทรัพย์สมบัติขายทอดตลาด ผู้จำนองยังมีเวลาหาเงินมาใช้หนี้ใช้สิน/ไถ่ถอนจำนองได้หลายเดือน ตรงกันข้ามกับคำสัญญาขายฝาก ถ้าครบกำหนดแล้ว ผู้ขายฝากไม่สามารถต่อสัญญาได้ แล้วก็คนขายฝากไม่สามารถใช้หนี้หรือไถ่ถอนแนวทางการขายฝากได้ บ้านรวมทั้งที่ดินที่ขายฝากจะหลุดเป็นเจ้าของของคนรับซื้อฝากทันที นับแต่วันครบกำหนดสัญญาขายฝาก

2.การทำข้อตกลงจำนอง เหมาะสำหรับบุคคลที่อยากได้ใช้เงินมาหมุนเวียนในเวลาอันเร็ว หรือบุคคลที่มีการเดินบัญชีกับธนาคารไม่สวยสวย หรือมีประวัติการผิดนัดใช้หนี้ แต่ยังมีความรู้และความเข้าใจสำหรับในการชำระหนี้ได้ โดยใช้เวลาราวๆ 1-2 วัน ก็ได้รับเงิน ค่าครองชีพสำหรับในการทำสัญญาจำนอง

1. ค่าลงบัญชีจำนอง ผู้จำนองควรจะเป็นผู้จ่ายในอัตราร้อยละ 1 ให้แก่กรมที่ดิน ตัวอย่างเช่น ถ้าเกิดเอาคราวดินไปขึ้นทะเบียนจำนำไว้กับผู้จำนองจำนวน 100,000 บาท ผู้จำนองจำเป็นต้องเสียค่าธรรมเนียมจำนวน 1,000 บาท ฯลฯ

2. ค่านายหน้า (ค่าปากถุง) สุดแท้แต่จะตกลงกัน