รับจำนอง
รับจำนอง การจำนำ คือ การทำข้อตกลงกู้หนี้ยืมสินที่ใช้อสังหาริมทรัพย์เป็นหลักประกันสำหรับการค้ำเงินกู้ ซึ่งผู้จำนองจำต้องนำเอาสินทรัพย์ที่จะใช้จดจำนองไปจดทะเบียนเพื่อตราไว้เป็นหลักค้ำประกันแก่ผู้รับจำนำเพื่อเป็นประกันการจ่ายและชำระหนี้ แต่ว่าจะไม่มีการโอนกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้รับจำนำ โดยผู้จำนองรวมทั้งผู้รับจำนำจึงควรดำเนินงานจำนองต่อหน้าต่อตาเจ้าหน้าที่ในสำนักงานที่ดินตามเขตอำนาจที่ทรัพย์สมบัติตั้งอยู่แค่นั้น
เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ พระราชกฤษฎีกา ถอนสภาพการเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ที่ดินกว่า 23 ไร่ ในท้องที่แขวงท่าอากาศยาน เขตดอนเมืองราชกิจจานุเบกษา ภาพที่นำมาจาก เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาวันที่ 15 ต.ค. 2562 เว็บราชกิจจานุเบกษา
เผยแพร่พระราชกฤษฎีกาถอนภาวะการเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะอย่างยิ่งของที่ราชพัสดุภัณฑ์ ในท้องที่แขวงท่าอากาศยาน เขตดอนเมือง กรุงเทพฯ พ.ศ. 2562พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่าโดยที่พอสมควรถอนสภาพการเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้
เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะของที่ราชพัสดุภัณฑ์ ในท้องที่แขวงสนามบิน เขตดอนเมือง จังหวัดกรุงเทพมหานคร เล็กน้อย อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 175 ของรัฐธรรมนูญที่อาณาจักรไทย รวมทั้งมาตรา 34 แห่งพ.ร.บ.ที่ราชพัสดุ พุทธศักราช 2562 จึงทรงพระขอความกรุณาปรานีโปรดเกล้าฯ ให้ยี่ห้อพระราชกฤษฎีกาขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้มาตรา 1 พระราชกฤษฎีกานี้เรียกว่า
“พระราชกฤษฎีกาถอนภาวะการเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะอย่างยิ่งของที่ราชพัสดุ ในท้องที่แขวงสนามบิน เขตดอนเมือง จังหวัดกรุงเทพมหานคร พุทธศักราช 2562″มาตรา 2 พระราชกฤษฎีกานี้ ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไปมาตรา 3 ให้ถอนสภาพการเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดิน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งของที่ราชพัสดุแปลงเลขทะเบียนที่ กท.111 หนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง เลขที่ กท 51545 พื้นที่ทั้งผองราวๆ 5,868 ไร่ 1 งาน 89 ตารางวา เล็กน้อย โดยมีพื้นที่ที่ถอนภาวะประมาณ 23 ไร่ 3 งาน 40 ตารางวา ในท้องที่ตำบลท่าอากาศยาน เขตดอนเมือง กรุงเทพฯ ภายในแนวเขตตามแผนที่ด้านหลังพระราชกฤษฎีกานี้มาตรา 4 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
รักษาการตามพระราชกฤษฎีกานี้ดังนี้ เหตุผลสำหรับการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ คือ เนื่องมาจากที่ราชพัสดุแปลงหมายเลขทะเบียนที่ กท.111 หนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง เลขที่ กท 51545 เนื้อที่ทั้งหมดราว 5,868 ไร่ 1 งาน 89 ตารางวา เดิมอยู่ในท้องที่ตำบลสีกัน เขตดอนเมือง จังหวัดกรุงเทพมหานคร
ปัจจุบันนี้อยู่ในท้องที่แขวงท่าอากาศยาน เขตดอนเมือง จังหวัดกรุงเทพมหานคร มีภาวะเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะอย่างยิ่ง และก็อยู่ในความครองดูแลแล้วก็ใช้ประโยชน์ในราชการของกองทัพอากาศปัจจุบันที่ราชพัสดุภัณฑ์แปลงดังที่กล่าวถึงแล้ว ซึ่งมีพื้นที่โดยประมาณ 23 ไร่ 3 งาน 40 ตารางวา กองทัพอากาศได้เลิกใช้ เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ
และกระทรวงการคลัง ไม่มุ่งหวังจะสงวนไว้ใช้เพื่อผลดีแบบนั้นอีกต่อไป เหมาะถอนสภาพการเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะของที่ราชพัสดุแปลงดังที่กล่าวถึงมาแล้วเล็กน้อย ตามมาตรา 34 แห่งพ.ร.บ.ที่ราชพัสดุภัณฑ์ รับจำนอง พุทธศักราช 2562 เพื่อมอบหมายให้กระทรวงการคลังทำงานตามกฎหมายว่าด้วยที่ราชพัสดุภัณฑ์ต่อไป จึงจำเป็นจะต้องตราพระราชกฤษฎีกานี้
ค่าธรรมเนียมการโอน
สำหรับในการค้าขายบ้าน หรือที่ดิน ตามเดิมจะต้องมีค่าครองชีพอื่น ที่นอกเหนือจากคาบ้าน รวมทั้งที่ดินที่ตำลงกันไว้ เป็นต้นว่าค่าธรรมเนียมการโอนบ้านและที่ดิน ซึ่งบางทีอาจเรียกว่าค่าภาษีอากรที่จะต้องจ่ายให้หลวง โดยการผ่านทางกรมที่ดิน ซึ่งก็ปกติที่คนทั่วๆไปจำเป็นต้องรู้
และปฏิบัติตามเนื่องจากว่าเป็นทั้งกฎหมายและก็ระเบียบของทางการ หรือกรมที่ดินนั่นเอง ผู้ละเมิดอาจมีโทษทั้งยังปรับเป็นเงิน หรือติดคุก หรืออีกทั้งจำแล้วก็ปรับไปด้วยพร้อมกัน รายจ่าย สำหรับการซื้อขายแลกเปลี่ยนบ้าน ที่ดินในกรมที่ดิน ในวันโอน มีรายการที่จะต้องชำระ ดังนี้
1. ค่าธรรมเนียมในการโอน 2% ของราคาประเมินหรือราคาขาย ซึ่งราคาไหนสูงกว่าก็ใช้ราคานั้น
2. ค่าอากรแสตมป์ 0.5% ของราคาซื้อ–ขาย แต่ว่าจะต้องไม่ต่ำลงยิ่งกว่าราคาประเมิน หากน้อยกว่าให้ใช้ราคาประเมินสำหรับในการคำนวณ, ค่าภาษี ธุรกิจเฉพาะ 3.3% ของราคาขาย
3. ค่าภาษีธุรกิจเฉพาะ นี้ จะคิดกับเฉพาะอสังหาริมทรัพย์ที่ซื้อมาแล้วขายออกไปภายในเวลา ไม่เกิน 5 ปี (ถ้าหากมีการย้ายใบสำมะโนครัวเจ้าของบ้านเข้าอยู่ เกินกว่า 1 ปี ได้รับนอกจากค่าภาษีนี้) เงินทองที่เสียค่าภาษีธุรกิจเฉพาะนี้แล้ว ไม่ต้องเสียค่าอากรในข้อ 2
4. ค่าภาษีอากรเงินได้ (ภงดเว้น.) ให้คิดแบบขั้นบันไดภาษี โดยการหักค่าใช้จ่ายต่างๆตามจำนวนปีที่ครอง ค่าจดจำท่วม ถ้าหากบ้าน หรือที่ดิน ที่ซื้อขายกันไม่ได้ซื้อสด จำนองต่อกับแบงค์ จะเสียค่าจำนอง 1% ของราคาจำนอง, ค่าอื่นๆยกตัวอย่างเช่น ค่าคำร้องขอ 20 บาท ค่าอากรตาม เปรียญ37 จำนวน 5 บาท และค่าพยาน 20 บาท
ค่าลงบัญชีจำนำ
เรื่องที่ดิน เกิดเรื่องใหญ่ ที่ดินเป็นเงินของผู้ครอบครองที่สามารถนำไปทำนิติกรรมกับอีกทั้งแบงค์ สถาบันการเงิน หรือกับบุคคลธรรมหรือนิติบุคคลก็ได้ มีหลายแนวทาง ตัวอย่างเช่น ให้เช่า ขาย จำนำ ขายฝาก หรือโอนให้เป็นมรดก และก็อื่นๆตามแต่คนที่เป็นเจ้าของเจ้าของจะเห็นสมควร ซึ่งความประพฤติปฏิบัติดังที่ได้กล่าวผ่านมาแล้วทั้งยังผู้ครองเจ้าของ และผู้มีความประสงค์จะต้องไปทำนิติกรรมพร้อมกันที่กรมที่ดิน รวมทั้งจะต้องเสียค่าธรรมเนียมสำหรับเพื่อการจดทะเบียน ต่างๆดังต่อไปนี้
ค่าธรรมเนียมในการจำท่วม ค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนแล้วก็ค่าอากรแสตมป์ ค่าคำร้องขอจดทะเบียนแปลงละ 5 บาท ค่าลงบัญชี ร้อยละ 1 บาท ไม่เกิน 200,000 บาท เมื่อคู่แค้นไปถึงที่ทำการที่ดิน
- ให้ติดต่อเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ของสำนักงานที่ดิน เพื่อขอคำปรึกษา พิจารณาหลักฐานเอกสารต่างๆรับบัตรคิวเป็นลำดับก่อนหรือหลัง
- ยื่นหลักฐานเอกสารต่างๆให้เจ้าหน้าที่สอบสวนตามช่องเลขที่กำหนดเอาไว้ในบัตรคิว ขั้นตอนของเจ้าหน้าที่ ตรวจดูสาระบบที่ดินรวมทั้งหนังสือแสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดิน รับคำขอแล้วก็สืบสวนคู่ปรับเป็นลำดับในบัตรคิว ตรวจอายัดเป็นตรวจดูว่ามีผู้ของดให้ทำประเด็นต่างๆไว้ก่อนหรือไม่ ประมาณราคาเงินทุนในการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมลงลายลักษณ์อักษรรวมทั้งแก้ทะเบียนในโฉนดที่ดิน
- คิดคำนวณค่าธรรมเนียมภาษีต่างๆจ่ายค่าธรรมเนียมแล้วก็ภาษีต่างๆขั้นตอนของเจ้าพนักงานที่ดินขึ้นทะเบียน สำรวจเรื่องทั้งสิ้น คู่แค้นเซ็นชื่อในข้อตกลงหรือบันทึกตามข้อตกลง เจ้าหน้าที่พนักงานที่ดินลงนามขึ้นทะเบียนในสัญญาหรือบันทึกข้อตกลงในโฉนดที่ดิน ประทับ
- แจกโฉนดแล้วก็คำสัญญา โปรดวิเคราะห์เอกสารความถูกต้องแน่ใจในโฉนดที่ดิน รวมทั้งสัญญาเพราะถูกต้องหรือเปล่า อาทิเช่น ชื่อจริง ชื่อสกุล อายุ ชื่อบิดา ชื่อมารดา ที่อยู่ก่อนกลับ
เปิด 3 มาตรการล่อใจผู้บริโภคบ้าน ลดค่าโอน – จำนำ เคลมภาษีได้ส่องมาตรการรัฐ
อุ้มอสังหาฯ หวังกระตุ้นเศรษฐกิจ อัดฉีดเงินหมื่นล้าน ผ่อนผันเงื่อนไขกู้ซื้อบ้าน ช่วยคนมีรายได้ปานกลาง ซื้อบ้านได้ง่ายขึ้นในสภาพการณ์ที่เศรษฐกิจชะลอตัวอย่างหนัก มีผลกระทบไปถึงตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ซบเซาตามไปด้วย เนื่องด้วยธนาคารพาณิชย์ทุกหัวระแหงครัดเคร่งมากขึ้นที่จะปล่อยสินเชื่อบ้าน
ทำให้ผู้ที่ต้องการจะซื้อบ้าน กู้ไม่ผ่านกันมากขึ้นเรื่อยๆในช่วงก่อนหน้านี้ ด้วยเหตุดังกล่าว รัฐบาลก็เลยต้องหาทางกระตุ้นเศรษฐกิจภาคอสังหาริมทรัพย์ด้วยการลดหย่อนข้อแม้การขอกู้ซื้อบ้าน เพื่อสามัญชนสามารถกู้ซื้อบ้านได้ง่ายขึ้น โน่นก็เลยเป็นต้นเหตุของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันอังคารที่ 13 ตุลาคม 2558 ที่ออก 3 มาตรการเด็ด เพื่ออุ้มภาคอสังหาริมทรัพย์ให้อยู่รอด ดังนี้
1. เพิ่มวงเงินกู้ซื้อบ้านพร้อมอัตราค่าดอกเบี้ยพิเศษรัฐบาลได้อนุมัติวงเงินเบื้องต้น 10,000 ล้านบาท เพื่อให้คนที่ถูกปฏิเสธการขอกู้ซื้อบ้านจากธนาคารพาณิชย์ สามารถขอกู้กับธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธนาคารอาคารสงเคราะห์) ได้ ซึ่งคราวหลัง ธอส. ก็รับลูก ด้วยการออกมาตรการลดหย่อนเงื่อนไขการขอสินเชื่อบ้านให้คนที่มีรายได้น้อย-ปานกลางมากขึ้นเรื่อยๆ
โดยพินิจรูปทรงความรู้ความเข้าใจจ่ายหนี้ต่อรายได้มากขึ้น จากเดิมอยู่ที่ 33% เป็น 40-50% ของรายได้สุทธิต่อเดือน นั่นจึงทำให้ผู้ที่มีรายได้ไม่ถึง 30,000 บาทต่อเดือน สามารถกู้ซื้อบ้านราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทได้ (จากเดิมกู้ซื้อบ้านได้เพียงราคาไม่เกิน 1.8 ล้านบาท)เทียบวงเงินกู้สินเชื่อบ้านธนาคารอาคารสงเคราะห์รายได้สุทธิ 10,000 บาทต่อเดือน เดิมกู้ได้ 600,000 บาท ปรับเป็น 1,000,000 บาทรายได้สุทธิ 20,000 บาทต่อเดือน เดิมกู้ได้ 1,200,000 บาท ปรับเป็น 2,000,000 บาทรายได้สุทธิ 30,000 บาทต่อเดือน เดิมกู้ได้ 1,800,000 บาท ปรับเป็น 3,000,000 บาท
โดยคิดอัตราค่าดอกเบี้ยสินเชื่อบ้านดังต่อไปนี้ปีแรก ดอก 3.50% ต่อปีปีที่ 2 ดอกเบี้ย 4.25% ต่อปีปีที่ 3 จนถึงครบข้อตกลง แบ่งเป็น 2 ชนิดเป็น ลูกค้าสวัสดิการ ดอกอยู่ที่ MRR -1.00% ต่อปี แล้วก็ลูกค้ารายย่อยทั่วไป ดอกอยู่ที่ MRR
-0.75% ต่อปี ซึ่งนับว่าเป็นอัตราดอกเบี้ยต่ำที่สุดแล้วก็เมื่อคำนวณออกเป็นงวดผ่อนต่อเดือน ตามวงเงินกู้และก็รายได้สุทธิแล้ว จะได้ค่างวดผ่อนดังต่อไปนี้สินเชื่อบ้าน ธอสรูปภาพที่นำมาจาก ธนาคารอาคารสงเคราะห์
2. ลดค่าธรรมเนียมการโอนรวมทั้งจำนองตรงเวลา 6 เดือนสำหรับมาตรการนี้จะเป็นการลดการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจดทะเบียนการโอน จาก 2% ของราคาประเมินเงินทุนในกรณีการโอน เหลือ 0.01% และลดค่าขึ้นทะเบียนการจำนองอสังหาริมทรัพย์และก็ห้องพัก จากเดิม 1% เหลือ 0.01% ของค่าที่จำนำ แต่ว่าไม่เกิน 200,000 บาท ซึ่งจะมีผลเพียง 6 เดือน เป็นถึงวันที่ 30 เมษายน 2559
3. ซื้อบ้านราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท สามารถหักผ่อนผันภาษีได้สำหรับคนที่ซื้ออสังหาริมทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็นตึกพร้อมที่ดิน หรือห้องเช่าในคอนโดมิเนียม ในราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท สามารถนำเอา 20% ของราคาบ้าน ไปหักผ่อนปรนภาษีเงินได้บุคคลปกติได้ตรงเวลา 5 ปี โดยมีเงื่อนไขการหักผ่อนผันภาษีเป็นจะต้องเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่มีมูลค่าไม่เกิน 3 ล้านบาทควรจะเป็นการซื้อคราวแรก
(ไม่เคยถือสิทธิ์ในอสังหาฯ อื่นมาก่อน)เป็นการซื้อเพื่ออาศัยจริงครอบครองในอสังหาฯ นั้น เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 5 ปีนับตั้งแต่วันโอนจำเป็นต้องจ่ายค่าซื้อและโอนกรรมสิทธิ์ภายในวันที่ 31 ธ.ค. 2559 เพียงแค่นั้นต้องใช้สิทธิ์นอกจากภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาต่อเนื่องกัน 5 ปีภาษี นับจากปีภาษีที่มีการขึ้นทะเบียนการโอนกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์โดยให้แบ่งใช้สิทธิเป็นจํานวนเท่าๆกันในแต่ละปีภาษีดังนี้หากเอามาเฉลี่ยคิดเป็นทุกปีของมูลค่าบ้านไม่เกิน 3 ล้านบาท จะผ่อนปรนได้ถึง 6 แสนบาท
หรือปีละ 120,000 บาท พอๆกับผ่อนบ้านราคา 3 ล้านบาท ในราคา 2,400,000 บาทเท่านั้น และถ้าหากรวมกับมาตรการผ่อนผันภาษีจากภาระหน้าที่ดอกเบี้ยเงินกู้ยืมบ้านที่เดี๋ยวนี้ได้ปีละไม่เกิน 1 แสนบาทอยู่แล้ว ก็เท่ากับได้สิทธิประโยชน์เป็น 2 เท่าจากการผ่อนปรนครั้งใหม่นี้เข้าไปด้วยเว้นแต่ 3 มาตรการที่ใช้กระตุ้นอสังหาฯ ที่กล่าวมาข้างต้น กระทรวงการคลังก็ยังมีมาตรการเพิ่มเติมด้วยการให้ธนาคารออมสินพินิจพิเคราะห์ปล่อยกู้ให้กับผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รายย่อย
เพื่อเป็นการสนับสนุนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ให้กลับมาขยายตัวได้ เนื่องจากว่ามั่นใจว่า ถ้าตลาดอสังหาริมทรัพย์สามารถขยายตัวได้มากขึ้น ก็จะช่วยฉุดภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาให้กลับมาครึกครื้นได้การอัดฉีดเงินเข้าระบบกว่าหมื่นล้านด้วยมาตรการต่างๆนั้น ย่อมส่งเเรงกระเพื่อมไปถึงภาคเอกชน ธนาคารพาณิชย์ แล้วก็ผู้ประกอบกิจการรายอื่นๆที่จะออกมารับลูก ทำโปรโมชั่นเพื่อแข่ง
ล่อใจลูกค้า หวังให้ตัวเองได้ส่วนแบ่งของตลาดอสังหาฯ ตามไปด้วย ทำให้ผู้ที่ได้ประโยชน์ไปเต็มๆคือพลเมืองที่มีรายได้น้อย มีโอกาสกู้บ้านผ่านเพิ่มขึ้นเรื่อยๆแล้วก็สมหวังกับการมีบ้านเป็นของตนเองได้แม้กระนั้นอาจจะจะต้องติดตามมองอย่างใกล้ชิดว่า ถ้ามีสาเหตุทางเศรษฐกิจอื่นที่ไม่สามารถทำให้พลเมืองมีกำลังซื้อ หรือผ่อนส่งบ้านที่ซื้อไปได้ มาตรการดังกล่าวจะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้จริงอยู่ไหม หรือจะยิ่งทำให้รัฐขาดทุนมากขึ้นเรื่อยๆ และแปลงเป็นการเพิ่มหนี้สินครอบครัว เพิ่มภาระหน้าที่ให้กับประชากรแทน